ทำความรู้จักยาลดกรดในกระเพาะ ตัวช่วยบรรเทาอาการไม่สบายท้อง

 เรียบเรียงโดย

ทีมงานผู้เชี่ยวชาญด้านกรดไหลย้อน จากกาวิสคอน

เมื่อพูดถึงอาการปวดท้องหรือแสบร้อนกลางอก หลายคนมักนึกถึง “ยาลดกรด” ซึ่งเป็นตัวช่วยสำคัญในการบรรเทาอาการความไม่สบายในระบบทางเดินอาหาร อาการเหล่านี้มักเกิดจากภาวะกรดเกินในกระเพาะอาหาร หรือภาวะกรดไหลย้อน บทความนี้จะพาคุณไปรู้จักยาลดกรดในกระเพาะอาหารอย่างละเอียด ตั้งแต่ยาลดกรดในกระเพาะ คืออะไร อาการปวดท้องแบบไหนควรเลือกใช้ยาลดกรดในกระเพาะแบบใด รวมถึงกลไกการออกฤทธิ์ สรรพคุณในการบรรเทาอาการ ไปจนถึงผลข้างเคียงที่ควรระวัง เพื่อที่จะสามารถเลือกใช้ยาลดกรดไหลย้อนได้อย่างปลอดภัย และเหมาะสม

ยาลดกรดในกระเพาะ ทำงานอย่างไร

ยาลดกรดในกระเพาะอาหาร จะเข้าไปลดความเป็นกรด ทำให้ค่าความเป็นกรด (pH) ในกระเพาะอาหารเป็นกลางมากขึ้น ลดความระคายเคืองของกรดต่อเยื่อบุกระเพาะอาหาร และหลอดอาหาร เพื่อช่วยบรรเทาอาการแสบร้อนกลางอก ปวดท้อง หรืออาการจากกรดเกินให้ทุเลาลงและรู้สึกสบายขึ้น

ปวดท้องแบบไหนถึงต้องกินยาลดกรดในกระเพาะ

  • ปวดท้องส่วนบนหรือบริเวณลิ้นปี่ มักมีอาการร่วม เช่น ท้องอืด มีลมหรือแก๊สในท้อง จุกเสียด แน่นท้อง หรือรู้สึกไม่สบายตัว โดยอาการเหล่านี้มักเกิดขึ้นขณะรับประทานอาหารหรือหลังรับประทานอาหารไม่นาน
  • มีอาการแสบร้อนกลางอก เรอเปรี้ยว มีรสขมในปาก และลำคอ ซึ่งเป็นอาการของกรดไหลย้อน
  • ปวดแสบท้องเวลาหิวหรือท้องว่าง อาการจะดีขึ้นเมื่อกินอาหารหรือยาลดกรด
  • อาการอาหารไม่ย่อย แน่นท้อง จุกเสียดที่เกิดจากพฤติกรรมเสี่ยง เช่น รับประทานอาหารรสจัด อาหารไม่ตรงเวลา ดื่มกาแฟตอนท้องว่าง สูบบุหรี่ ดื่มแอลกอฮอล์ หรือมีความเครียดสะสม

ยาลดกรดในกระเพาะ ชนิดต่าง ๆ มีอะไรบ้าง

ยาลดกรดในกระเพาะอาหาร (Antacids) มีหลายชนิด แต่ละชนิดมีกลไกการทำงานต่างกัน ช่วยบรรเทาอาการแสบท้อง กรดไหลย้อน จุกแน่น หรือกรดเกินในกระเพาะอาหารได้
ด้านล่างคือ ชนิดของยาลดกรดที่พบได้บ่อย

กลุ่มที่ 1 : ยาลดกรด (Antacids)

ยาลดกรดทั่วไปมีฤทธิ์เป็นด่าง ทำหน้าที่ลดความเป็นกรด (pH) ในกระเพาะอาหารหรือลำไส้ให้เป็นกลางมากขึ้น ช่วยเจือจางความเป็นกรดในกระเพาะอาหาร เมื่อความเป็น
กรดลดลง การกัดกร่อนของกรดที่จะทำให้เกิดแผลหรือการทำให้แผลที่มีอยู่ระคายเคืองลดลงและให้ผลในการบรรเทาอาการ แต่ยาลดกรดในกระเพาะทั่วไปไม่ได้มีผล
โดยตรงในการป้องกันกรดไหลย้อนขึ้นสู่หลอดอาหาร และออกฤทธิ์เพียงระยะเวลาสั้น ๆ แค่ 1-2  ชั่วโมง จึงต้องรับประทานยาบ่อย ๆ

กลุ่มที่ 2 : ยาลดกรดและบรรเทาอาการกรดไหลย้อน

ยาลดกรดและบรรเทาอาการกรดไหลย้อนที่มีส่วนผสมของ โซเดียม อัลจิเนต ที่ออกฤทธิ์และทำปฏิกิริยากับกรดในกระเพราะอาหารแบบดับเบิ้ลแอคชั่น ด้วย 2 กลไกการออกฤทธิ์ ทั้งลดกรด ปรับสภาพกรดในกระเพาะอาหาร และสร้างชั้นแพเจล (raft) ปกคลุมกรดไม่ให้ไหลย้อนกลับสู่หลอดอาหาร จึงช่วยลดอาการแสบร้อนกลางอกจากภาวะกรดไหลย้อน และลดการระเหยของไอกรดไปที่ยังหลอดอาหาร ลดการระคายเคืองหลอดอาหารจากกรดในกระเพาะ จึงช่วยลดอาการต่าง ๆ ของกรดไหลย้อนได้อย่างมีประสิทธิภาพ และยาวนานถึงประมาณ 4 ชั่วโมง ซึ่งให้ผลดีกว่ายาลดกรดทั่วไปในแง่ของการบรรเทาอาการและป้องกันกรดไหลย้อน สามารถหาซื้อได้ตามร้านขายยาและร้านสะดวกซื้อทั่วไป

กลุ่มที่ 3 : ยากลุ่ม Proton – Pump Inhibitors (PPIs)

ยากลุ่ม Proton Pump Inhibitors (PPIs) หรือยาที่ทำให้หยุดการผลิตกรดในกระเพาะอาหาร จะออกฤทธิ์ลดการหลั่งกรดจากผนังเซลล์กระเพาะอาหาร ส่งผลให้การหลั่งกรดในกระเพาะอาหารลดลงโดยตรง เหมาะสำหรับรักษาโรคกรดไหลย้อน แผลในกระเพาะอาหาร รวมถึงภาวะที่มีการหลั่งกรดมากเกินไป เป็นยาอันตรายที่ต้องซื้อจากร้านขายยาและควรใช้ตามคำแนะนำของแพทย์

ทั้งนี้ ยาลดกรดในกระเพาะอาหารที่วางจำหน่ายตามร้านขายยามีหลากหลายยี่ห้อและรูปแบบ และมีความแตกต่างกันในด้านส่วนผสมหรือรูปแบบการออกฤทธิ์ จึงควรพิจารณาอาการร่วมต่าง ๆ ที่พบ และเลือกสูตรยาลดกรดในกระเพาะอาหารให้เหมาะสมตามอาการ

ทานยาลดกรดในกระเพาะ

วิธีการเลือกยาลดกรด เลือกอย่างไรให้ตรงอาการ?

การเลือกยาลดกรดในกระเพาะ ให้ถูกต้องถือเป็นสิ่งสำคัญ เพราะช่วยลดกรดได้อย่างมีประสิทธิภาพ และลดผลกระทบต่อกระเพาะอาหารให้น้อยที่สุด เราจึงสรุปข้อมูลทางวิชาการและคุณสมบัติของ ยาลดกรด ในแต่ละรูปแบบ พร้อมแนะนำ วิธีการเลือกยาลดกรด ให้เหมาะกับอาการของคุณ ดังนี้

1. สำหรับอาการกรดเกิน ท้องอืด แน่นท้อง

     1.1 เลือกยาลดกรดพื้นฐานที่ช่วยลดกรดโดยตรง
           หากคุณมีอาการท้องอืด แน่นท้อง หรือกรดเกินในทางเดินอาหาร ควรเลือก ยาลดกรดในกระเพาะ ที่มีส่วนผสมสำคัญดังนี้
           - โซเดียม ไบคาร์บอร์เนต (Sodium Bicarbonate) และแคลเซียม คาร์บอเนต (Calcium Carbonate)
              ช่วยลดฤทธิ์กรดในกระเพาะอาหาร โดยทำปฏิกิริยากับกรดให้เป็นกลาง
           - แมกนีเซียมไฮดรอกไซด์ (Magnesium Hydroxide) แต่มีข้อควรระวังคืออาจทำให้ท้องเสีย
           - อะลูมิเนียมไฮดรอกไซด์ (Aluminium Hydroxide) แต่บางรายอาจมีอาการท้องผูก
             ส่วนใหญ่ยาลดกรดที่ขายทั่วไปจะผสมตัวยามากกว่า 1 ชนิด
             เพื่อให้ลดกรดได้ดีขึ้นและช่วยลดผลข้างเคียง เช่น ท้องผูกหรื

     1.2 เลือกยาลดกรดที่มีส่วนผสมช่วยขับลม สำหรับคนที่ท้องอืด จุกเสียด
          หากคุณมีอาการท้องอืด จุกเสียด หรือแน่นท้องร่วมด้วย ให้เลือกยาลดกรดที่มีสารช่วยขับลม เช่น
          - ไซเมทิโคน (Simethicone)
          - น้ำมันเปปเปอร์มินต์ (Peppermint Oil)
          และถ้ามีอาการอาหารไม่ย่อยร่วมด้วย แนะนำให้ทานร่วมกับเอนไซม์ช่วยย่อย เช่น
          - ไดแอสเทส (Diastase)
          - แพนครีเอทิน (Pancreatin)

     1.3 ใช้สมุนไพรเสริม สำหรับคนที่มีอาการไม่มาก
          หากเป็นโรคกระเพาะไม่รุนแรง สามารถเลือก ยาลดกรดสมุนไพร ร่วมกับยาแผนปัจจุบันได้ เช่น
          - ขมิ้นชัน ช่วยขับลม ลดปวดท้อง และสมานแผลในกระเพาะอาหาร
          - ลูกยอ ช่วยเคลือบกระเพาะ ลดกรด และลดการระคายเคือง
          - มะตูม ช่วยขับลม ลดอาการโรคกระเพาะ และช่วยการขับถ่าย

2. สำหรับผู้ที่มีปัญหากรดเกิน ท้องอืด แน่นท้อง ร่วมกับ “กรดไหลย้อน” เลือกยาลดกรดและบรรเทากรดไหลย้อนที่มีอัลจิเนต (Alginate)

กลุ่มอาการแสบร้อนกลางอก เรอเปรี้ยว หรือกรดไหลย้อน ควรเลือกยาลดกรดและบรรเทาไหลย้อนที่มีส่วนผสมของ อัลจิเนต (Alginate) ซึ่งทำหน้าที่เคลือบหลอดอาหาร และสร้างชั้นแพเจลลอยตัวอยู่ด้านบนสุดของกระเพาะอาหาร ช่วยป้องกันการไหลย้อนกลับของกรดในกระเพาะอาหาร ไม่ให้ขึ้นมาที่หลอดอาหารได้

3. วิธีการเลือกยาลดกรดสำหรับเด็ก ควรเลือกชนิดที่ปลอดภัยและอ่อนโยน

ในเด็กเล็กอายุต่ำกว่า 4 ปี ไม่แนะนำให้ใช้ ยาลดกรดในกระเพาะ เพราะอาจได้รับแร่ธาตุมากเกินไป และมีผลต่อการดูดซึมสารอาหาร
แต่ถ้าจำเป็น เด็กสามารถใช้ในปริมาณครึ่งหนึ่งของผู้ใหญ่ได้ โดยปริมาณที่เหมาะสมคือ
เม็ด: ครั้งละ 1 เม็ด
น้ำ: 1–2 ช้อนชา (5–10 ซีซี)

4. เลือกรูปแบบและขนาดยาลดกรดให้เหมาะกับการใช้งาน

ยาลดกรด มีทั้งแบบเม็ดและแบบน้ำ ซึ่งตอบโจทย์ต่างกัน
ยาลดกรดแบบเม็ด
- พกง่าย ใช้สะดวก
- แบบเม็ดเคี้ยวออกฤทธิ์เร็วกว่าแบบเม็ดกลืน
- ผู้ใหญ่: 1–2 เม็ด
- เด็ก 4–12 ปี: 1 เม็ด
ยาลดกรดแบบน้ำ
- ออกฤทธิ์เร็ว เคลือบหลอดอาหารได้ดี
- เหมาะกับคนมีอาการกรดไหลย้อน
- ผู้ใหญ่: 1–2 ช้อนโต๊ะ หรือ 1 ซอง
- เด็ก 4–12 ปี: 1–2 ช้อนชา

อาการเกี่ยวกับระบบทางเดินอาหารแบบใดบ้างที่ควรเข้าพบแพทย์

อาการผิดปกติในระบบทางเดินอาหารอาจไม่ใช่แค่เรื่องจุกเสียดธรรมดา เพราะบางสัญญาณสามารถบ่งบอกโรคที่ต้องพบแพทย์ทันที มาดูว่าอาการแบบไหนที่ไม่ควรมองข้าม

  • ปวดท้องรุนแรง หรือปวดท้องเรื้อรังนานเกิน 2 - 4 สัปดาห์ โดยเฉพาะหากปวดมากขึ้นหรือปวดตอนกลางคืนจนรบกวนการนอน
  • กลืนอาหารลำบากหรือกลืนแล้วเจ็บ
  • คลื่นไส้ อาเจียนรุนแรงติดต่อกัน
  • ถ่ายอุจจาระเป็นเลือด หรือถ่ายดำ
  • น้ำหนักลดโดยไม่ทราบสาเหตุ หรือเบื่ออาหาร อิ่มเร็ว รับประทานอาหารได้น้อยลง
  • คลำพบก้อนในท้อง หรือมีต่อมน้ำเหลืองโต
  • ท้องผูกเรื้อรัง ท้องเสียเรื้อรัง หรือท้องผูกสลับท้องเสีย
  • อาการแน่นท้องเรื้อรัง ท้องอืด ท้องเฟ้อ อาหารไม่ย่อยที่ไม่ดีขึ้น

ยาลดกรดในกระเพาะอาหารเป็นตัวช่วยสำคัญสำหรับผู้ที่มีอาการปวดท้องหรือไม่สบายท้องที่มีสาเหตุจากกรด โดยจะออกฤทธิ์ช่วยปรับสมดุลความเป็นกรดในกระเพาะอาหารให้เป็นกลางมากขึ้น ช่วยบรรเทาอาการระคายเคือง และลดความเสี่ยงต่อการเกิดแผลในกระเพาะอาหารหรือหลอดอาหาร อย่างไรก็ตาม หากมีอาการกรดไหลย้อนร่วมด้วย
ควรรับประทานยาลดกรดและบรรเทากรดไหลย้อนโดยเฉพาะ เพราะไม่เพียงแต่สามารถลดกรด ปรับสภาพความเป็นกรดในกระเพาะให้เป็นกลาง แต่ยังช่วยสร้างชั้นแพเจลลอยตัวเหนือของเหลวในกระเพาะ จึงป้องกันกรดไหลย้อนกลับขึ้นสู่หลอดอาหาร พร้อมด้วยส่วนผสมที่สกัดจากสาหร่ายสีน้ำตาลจากนอร์เวย์ ทำให้แพเจลมีความแข็งแรง สามารถบรรเทาอาการได้อย่างมีประสิทธิภาพ และยาวนานกว่ายาลดกรดธรรมดาทั่วไป

แหล่งอ้างอิง:

บทความที่เกี่ยวข้อง

คำถามที่พบบ่อย

A: การกินยาลดกรดทุกวันอาจเป็นอันตราย โดยเฉพาะในระยะยาว เพราะอาจส่งผลข้างเคียง เช่น ท้องผูก ท้องเสีย หรือท้องอืด นอกจากนี้ยัง รบกวนการดูดซึมสารอาหาร และอาจนำไปสู่ปัญหาสุขภาพอื่น ๆ ได้ เช่น กระดูกพรุน โรคไต หรือ ภาวะแมกนีเซียมในเลือดต่ำ หากต้องใช้ยาเป็นประจำ ควรปรึกษาแพทย์เพื่อหาสาเหตุและแนวทางการรักษาที่เหมาะสม

A: ระยะเวลาการกินยาลดกรดไหลย้อนขึ้นอยู่กับชนิดของยาและความรุนแรงของโรค โดยทั่วไปจะใช้เวลา 4-8 สัปดาห์ แต่ควร ไม่เกิน 4 สัปดาห์ หากเป็นยาแบบที่หาซื้อได้เอง หากอาการไม่ดีขึ้นหรือรุนแรงขึ้น ควรปรึกษาแพทย์เพื่อปรับการรักษา

A: ยาลดกรดแม้ว่าจะกินแล้วอาการดีขึ้น แต่ในขณะเดียวกันก็กลายเป็นตับที่กลับพัง โดยเฉพาะยาลดกรดไหลย้อนประเภท PPI ที่เราเห็นวางขายตามตลาด ช่วยเรื่องการรักษากรดไหลย้อนหรือแผลในกระเพาะ อาจเป็นปัญหาต่อคนที่เป็นโรคตับอักเสบอยู่แล้วได้ เพราะมันจะทำให้ตับอักเสบเกิดการรุนแรงขึ้น หรือเป็นขั้นตับอักเสบเรื้อรังได้ด้วย

A: อาการไม่พึงประสงค์ของยาใช้ยากลุ่ม Proton-pump Inhibitors ในระยะยาว ได้แก่ การดูดซึมแร่ธาตุและวิตามินลดลง (แมกนีเซียม, แคลเซียม และวิตามิน B12) จึงเสี่ยงต่อภาวะกระดูกพรุนและกระดูกหัก โดยเฉพาะในผู้สูงอายุ, การลดกรดในกระเพาะอาหารทำให้สมดุลของจุลินทรีย์ในลำไส้เปลี่ยนไป จึงเพิ่มโอกาสติดเชื้อในระบบทางเดินอาหาร เช่น Clostridium difficile ทำให้เกิดอาการท้องเสียเรื้อรังหรือรุนแรง, โรคไตเรื้อรังและภาวะไตเสื่อม เป็นต้น

A: ยาบางชนิดห้ามกินร่วมกับยาลดกรด หรือควรเว้นระยะห่างกันอย่างน้อย 2-4 ชั่วโมง ได้แก่
ยาที่ต้องการกรดในกระเพาะอาหารเพื่อการดูดซึม เช่น ยารักษาโรคหัวใจบางชนิด (Digoxin), ยากันชัก (Phenytoin)
ยาต้านเชื้อราบางตัว (Ketoconazole, Itraconazole) และยาต้านไวรัสบางชนิด (Atazanavir)
นอกจากนี้ แคลเซียมและแมกนีเซียมในยาลดกรดจะลดการดูดซึมยาบางชนิด เช่น
ยาธาตุเหล็ก (Iron supplements), ยาปฏิชีวนะบางชนิด (Ciprofloxacin, Levofloxacin) เป็นต้น
ควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรทุกครั้งก่อนใช้ยาลดกรดร่วมกับยาอื่น ๆ