รักษาภาวะกรดไหลย้อนด้วยการใช้ยา หมดปัญหาแสบร้อนกลางอก

เรียบเรียงโดย
ทีมงานผู้เชี่ยวชาญด้านกรดไหลย้อน จากกาวิสคอน

กรดไหลย้อน (Gastroesophageal Reflux Disease: GERD) คือ ภาวะที่กรดหรือน้ำย่อยจากกระเพาะไหลย้อนขึ้นไปยังหลอดอาหาร ก่อให้เกิดอาการแสบร้อนกลางอก
เรอเปรี้ยว รวมถึงอาการไม่สบายอื่น ๆ ในระบบทางเดินอาหาร วันนี้กาวิสคอนจะพาทุกคนไปทำความเข้าใจว่า กรดไหลย้อน เกิดจากอะไร เมื่อมีอาการกรดไหลย้อน ต้องใช้ยาอะไร หรือสงสัยว่า กรดไหลย้อนขึ้นคอ กินยาอะไรดี พร้อมบอกวิธีปรับเปลี่ยนพฤติกรรมที่ช่วยลดการเกิดกรดไหลย้อน

ความเครียดสาเหตุของกรดไหลย้อนขึ้นคอ ควรกินยาอะไรดี

โรคกรดไหลย้อน (GERD) เกิดจากอะไร

สาเหตุของกรดไหลย้อน สามารถเกิดจากการทำงานที่ผิดปกติของระบบในร่างกาย เช่น กล้ามเนื้อหูรูดส่วนปลายของหลอดอาหารหย่อนตัว การบีบตัวของหลอดอาหารหรือกระเพาะอาหารผิดปกติ รวมถึงสามารถเกิดจากพฤติกรรมการรับประทานอาหาร และการใช้ชีวิต เช่น ล้มตัวนอนทันทีหลังรับประทานอาหาร รับประทานอาหารปริมาณมากหรือเร็วเกินไป โดยก่อนจะไปดูว่า กรดไหลย้อนขึ้นคอ กินยาอะไร มาดูปัจจัยเสี่ยงอื่น ๆ ที่สามารถก่อให้เกิดกรดไหลย้อนไปพร้อมกัน

ปัจจัยเสี่ยงต่อโรคกรดไหลย้อน มีอะไรบ้าง

กาวิสคอนรวบรวม 6 ปัจจัยเสี่ยงที่สามารถก่อให้เกิดโรคกรดไหลย้อนได้ ดังต่อไปนี้

  • พฤติกรรมการรับประทานอาหาร: ทานอาหารแล้วนอนทันที ทานอาหารปริมาณมาก ไม่เป็นเวลา ชอบทานอาหารมัน อาหารทอด อาหารรสจัด หรือผลไม้รสเปรี้ยว และดื่มน้ำอัดลมหรือเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน
  • ดื่มแอลกอฮอล์ และสูบบุหรี่: แอลกอฮอล์ และบุหรี่ อาจทำให้กล้ามเนื้อหูรูดหลอดอาหารส่วนปลายคลายตัว ปิดไม่สนิท ส่งผลให้กรดไหลย้อนขึ้นมาได้ง่ายขึ้น
  • น้ำหนักเกินหรือโรคอ้วน: ใครที่มีน้ำหนักตัวมากหรือเป็นโรคอ้วนจะมีแรงดันในช่องท้องสูง ส่งผลให้กรดในกระเพาะอาหารไหลย้อนขึ้นไปยังหลอดอาหารได้ง่าย
  • การสะสมความเครียด: กระตุ้นให้กระเพาะอาหารหลั่งกรดมากขึ้น
  • อยู่ในระหว่างตั้งครรภ์: ความดันในช่องท้องจะสูงขึ้นจากมดลูกที่ขยายตัว เพิ่มโอกาสเกิดกรดไหลย้อน
  • การใช้ยาบางชนิด: กรดไหลย้อนอาจเป็นผลข้างเคียงจากการใช้ยาบางชนิด ควรรับคำแนะนำจากแพทย์ เพื่อความปลอดภัย

กรดไหลย้อนขึ้นคอ กินยาอะไร บทความนี้มีคำตอบ

ภาวะอาการกรดไหลย้อน มีกี่แบบ

ภาวะอาการกรดไหลย้อน แบ่งออกหลัก ๆ ได้ 2 แบบ คือ อาการด้านหลอดอาหาร และอาการนอกหลอดอาหาร สำหรับผู้ที่สงสัยว่า กรดไหลย้อนกินยาอะไร หรือ กรดไหลย้อนยาแบบใดที่ช่วยบรรเทาอาการได้ ควรเริ่มจากการเข้าใจลักษณะของอาการเหล่านี้ให้ชัดเจนก่อน

1. อาการด้านหลอดอาหาร

อาการที่เกี่ยวข้องกับหลอดอาหารจากกรดไหลย้อน สามารถแบ่งได้ทั้งแบบไม่มีการอักเสบของเยื่อบุหลอดอาหาร (เยื่อบุหลอดอาหารปกติ) และแบบมีการอักเสบของเยื่อบุหลอดอาหาร ซึ่งแต่ละภาวะมีลักษณะ และอาการที่แตกต่างกัน

เยื่อบุหลอดอาหารปกติ

ผู้ที่เป็นกรดไหลย้อนบางราย อาจตรวจไม่พบความผิดปกติของเยื่อบุหลอดอาหาร มีเพียงอาการแสบร้อนกลางอกหรือเจ็บหน้าอก รวมถึงมีอาการอื่น ๆ ร่วม เช่น เรอเปรี้ยว กลืนลำบาก หรือรู้สึกเหมือนมีอะไรติดคอ แต่ไม่มีแผลหรือการอักเสบที่เห็นได้ชัดในหลอดอาหาร ซึ่งในกรณีนี้หลายคนอาจสงสัยว่า กรดไหลย้อนขึ้นคอ กินยาอะไร ถึงจะช่วยบรรเทาอาการได้อย่างมีประสิทธิภาพ

เยื่อบุหลอดอาหารอักเสบ

สำหรับใครที่เป็นโรคกรดไหลย้อนอยู่บ่อยครั้ง และรุนแรง อาจส่งผลให้เยื่อบุหลอดอาหารเกิดการอักเสบ ซึ่งก่อให้เกิดอาการแสบร้อนกลางอกอย่างรุนแรง กลืนลำบากหรือเจ็บเวลากลืนอาหาร และเจ็บหน้าอก หากชะล่าใจ ปล่อยไว้โดยไม่รักษา อาจเกิดภาวะแทรกซ้อน เช่น หลอดอาหารตีบ เป็นแผลหรืออักเสบเรื้อรัง Barrett’s esophagus
(การเปลี่ยนแปลงของเซลล์เยื่อบุที่อาจนำไปสู่การเกิดมะเร็ง)

2. อาการนอกหลอดอาหาร

อาการนอกหลอดอาหาร (Extra-esophageal symptoms) คืออาการที่เกิดขึ้นนอกเหนือจากระบบทางเดินอาหารส่วนต้น เช่น หลอดอาหารหรือกระเพาะอาหาร ซึ่งบางคนอาจประสบอาการเหล่านี้ร่วมกับอาการทางคอ จึงมีคำถามบ่อยครั้งว่า กรดไหลย้อนขึ้นคอ กินยาอะไร จึงจะช่วยบรรเทาอาการได้ตรงจุด

อาการที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับกรดไหลย้อน

  1. ท้องอืด อาหารไม่ย่อย
  2. แน่นท้อง จุกเสียด
  3. จุกแน่นลิ้นปี่
  4. เรอเปรี้ยว
  5. คลื่นไส้
  6. แสบร้อนกลางอก
  7. แสบคอ จุกแน่นในลำคอ กลืนลำบาก

อาการที่อาจมีความเกี่ยวข้องกับกรดไหลย้อนมีอะไรอีกบ้าง

  • คออักเสบเรื้อรังหรือเจ็บคอโดยไม่ทราบสาเหตุแน่ชัด
  • ไซนัสอักเสบเรื้อรังหรือมีเสมหะไหลลงคอ
  • พังผืดในปอดหรือโรคปอดบางชนิดที่ไม่พบสาเหตุอื่น
  • หูชั้นกลางอักเสบหรือหูอื้อเป็น ๆ หาย ๆ
  • อาการทางจมูก เช่น คัน จาม คัดจมูก น้ำมูกไหล

กรดไหลย้อนยาแบบใดที่ช่วยบรรเทาอาการได้

ยารักษาภาวะกรดไหลย้อน มีอะไรบ้าง

ยารักษาภาวะกรดไหลย้อนแบ่งออกเป็นหลัก ๆ 3 กลุ่ม ได้แก่

กลุ่มที่ 1 : ยาลดกรดทั่วไป

ยาลดกรด (Antacids) เป็นยาที่ใช้บรรเทาอาการกรดไหลย้อน และอาการปวดท้องจากกรดเกินในกระเพาะอาหาร โดยยาจะเข้าไปจะทำปฏิกิริยากับกรดในกระเพาะ ช่วยปรับสภาพกรดให้เป็นกลาง แต่มีข้อเสียคือ ออกฤทธิ์เพียงระยะเวลาสั้นๆ แค่ 1-2  ชั่วโมง จึงต้องรับประทานยาบ่อยๆ

กลุ่มที่ 2 : ยาลดกรดและบรรเทาอาการกรดไหลย้อน

นอกจากยาลดกรดทั่วไป ยังมียาลดกรดและบรรเทาอาการกรดไหลย้อนได้โดยตรง เพราะทำงานแบบดับเบิ้ลแอคชั่น ที่จะช่วยบรรเทาอาการอย่างรวดเร็วด้วย 2 กลไกการออกฤทธิ์ ทั้งลดกรด ปรับสภาพกรดในกระเพาะอาหาร และสร้างชั้นแพเจลที่แข็งแรงลอยตัวเหนือของเหลวในกระเพาะ ป้องกันกรดไหลย้อน

หากคุณสงสัยว่า กรดไหลย้อนขึ้นคอ กินยาอะไร ถึงจะเห็นผล ยากลุ่มนี้ถือเป็นหนึ่งในคำตอบสำคัญ

กลุ่มที่ 3 : ยาที่ลดการผลิตกรดในกระเพาะอาหาร

ยากลุ่ม Proton Pump Inhibitors (PPIs) ซึ่งออกฤทธิ์ยับยั้งการผลิตกรดในกระเพาะอาหาร อาจมีผลข้างเคียง เช่น คลื่นไส้ อาเจียน ท้องเสีย ปวดศีรษะ ควรใช้ยาประเภทนี้ตามคำแนะนำของแพทย์

ปรับเปลี่ยนพฤติกรรม เพื่อลดภาวะกรดไหลย้อนได้อย่างไรบ้าง

นอกจากการบรรเทาอาการกรดไหลย้อนด้วยการใช้ยาแล้ว สามารถปรับเปลี่ยนพฤติกรรม เพื่อลดความเสี่ยงที่จะเกิดได้ง่าย ๆ ดังนี้

  • ปรับพฤติกรรมการรับประทานอาหาร: เช่น แบ่งรับประทานอาหารเป็นมื้อเล็ก ๆ แทนการกินมื้อใหญ่ในแต่ละมื้อ หลีกเลี่ยงอาหารมัน อาหารทอด อาหารรสจัด
    น้ำอัดลม ชา กาแฟ และทานอาหารให้ตรงเวลา เคี้ยวอาหารให้ละเอียด
  • ปรับพฤติกรรมหลังรับประทานอาหาร: ไม่ควรนอนราบหรือเอนตัวลงทันทีหลังรับประทานอาหาร ควรรออย่างน้อย 2-3 ชั่วโมงก่อนนอน เพื่อให้อาหารย่อย
  • ปรับพฤติกรรมการนอน: หนุนหัวเตียงสูงขึ้น 6 – 8 นิ้ว และหากมีอาการกรดไหลย้อนตอนกลางคืน ควรนอนตะแคงซ้าย เพื่อลดโอกาสกรดไหลย้อน
  • ควบคุมน้ำหนักตัว: หากมีน้ำหนักเกินหรือโรคอ้วน เพิ่มแรงดันในช่องท้อง และกระตุ้นให้เกิดกรดไหลย้อน
  • งดสูบบุหรี่ และงดดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์: สารในบุหรี่ และแอลกอฮอล์ สามารถทำให้หูรูดหลอดอาหารคลายตัว และกระตุ้นการหลั่งกรดในกระเพาะอาหาร
  • ลดการสะสมความเครียด: ความเครียดจะกระตุ้นการหลั่งกรดในกระเพาะ ทำให้เกิดกรดไหลย้อน

กรดไหลย้อนเกิดได้จากหลายสาเหตุ และปัจจัย โดยการบรรเทาอาการกรดไหลย้อนทำได้ด้วยการใช้ยาร่วมกับปรับเปลี่ยนพฤติกรรม ซึ่งอาจเลือกใช้ยาลดกรดและบรรเทากรดไหลย้อน เพื่อบรรเทาอาการต่าง ๆ จากกรดไหลย้อน ในขณะที่ยากลุ่มที่ลดการผลิตกรดในกระเพาะอาหาร เช่น Proton Pump Inhibitors (PPIs) ควรใช้ภายใต้การดูแลของแพทย์

 

แหล่งอ้างอิง:

บทความที่เกี่ยวข้อง