เรียบเรียงโดย
รองศาสตราจารย์ นพ.ศักรินทร์ จิรพงศธร
แผนกโรคทางเดินอาหารและตับ รพ.พระมงกุฎเกล้า
ศูนย์ทางเดินอาหารและตับ รพ.บำรุงราษฏร์
โรคกรดไหลย้อนคืออะไร
โรคกรดไหลย้อน หรือ GERD (Gastro-Esophageal Reflux Disease) คือ ภาวะที่เกิดจากน้ำย่อยในกระเพาะอาหาร ซึ่งอาจเป็นกรด หรือ ด่างก็ได้ ไหลย้อนขึ้นมาในหลอดอาหาร หรือเรียกว่ากรดเกินในกระเพาะ ซึ่งน้ำย่อยเหล่านี้อาจทำให้เกิดการระคายเคืองของหลอดอาหาร จนทำให้เกิดอาการ หรือ ภาวะแทรกซ้อนที่รบกวนคุณภาพชีวิต
สาเหตุของโรคกรดไหลย้อน
โรคกรดไหลย้อน เกิดจากกรดในกระเพาะอาหารไหลย้อนขึ้นไปในหลอดอาหาร ทำให้เกิดอาการแสบร้อน
กลางอก เรอเปรี้ยว และอาการอื่น ๆ โดยมีสาเหตุต่าง ๆ ดังนี้
1. การทำงานผิดปกติของกล้ามเนื้อหูรูดหลอดอาหารส่วนล่าง (LES)
หูรูดหลอดอาหารส่วนล่างทำหน้าที่ป้องกันกรดไหลย้อนขึ้นมา หากทำงานผิดปกติ หรือคลายตัวมากเกินไป
จะทำให้กรดไหลย้อนขึ้นมาได้ง่าย
2. พฤติกรรมการกินและการใช้ชีวิต
- รับประทานอาหารมื้อใหญ่เกินไป หรือกินแล้วนอนทันที
- กินอาหารที่กระตุ้นให้เกิดกรดไหลย้อน เช่น อาหารมัน อาหารเผ็ด ช็อกโกแลต กาแฟ แอลกอฮอล์ และน้ำอัดลม
- การสูบบุหรี่ ซึ่งทำให้หูรูดหลอดอาหารส่วนล่างอ่อนแอลง
- ความเครียดและความวิตกกังวล ส่งผลต่อการหลั่งกรดในกระเพาะอาหาร
3. ภาวะน้ำหนักเกินหรือโรคอ้วน
น้ำหนักที่มากเกินไปทำให้เกิดแรงดันในช่องท้องเพิ่มขึ้น ส่งผลให้กรดไหลย้อนขึ้นมาได้ง่าย
4. การตั้งครรภ์
ฮอร์โมนที่เปลี่ยนแปลงและแรงกดดันจากมดลูกที่โตขึ้น อาจทำให้กรดไหลย้อนเกิดขึ้นในระหว่างตั้งครรภ์
5. โรคและภาวะทางสุขภาพบางอย่าง
- ไส้เลื่อนกะบังลม (Hiatal Hernia) ทำให้กระเพาะอาหารเคลื่อนขึ้นไปในบริเวณอกและส่งผลให้กรดไหลย้อน
ง่ายขึ้น
- โรคเบาหวานที่มีภาวะเส้นประสาทผิดปกติ ทำให้กระเพาะอาหารทำงานช้าลง
6. การใช้ยาบางชนิด
- ยาต้านการอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ (NSAIDs) เช่น ไอบูโพรเฟน แอสไพริน
- ยารักษาโรคความดันโลหิตสูงบางชนิด เช่น ยาขยายหลอดเลือด
- ยานอนหลับหรือยาคลายกล้ามเนื้อ
อาการกรดไหลย้อน
อาการที่พบบ่อยของโรคกรดไหลย้อนมี 7 อาการหลักๆ รวมถึงอาการอื่นๆ ที่อาจคาดไม่ถึง
1. ท้องอืด อาหารไม่ย่อย
เกิดจากกระเพาะอาการหลั่งกรดมากเกินไป ทำให้ระบบย่อยอาหาร โดยเฉพาะเอนไซม์ที่อยู่ในลำไส้เล็กทำงานได้ไม่เต็มที่ และเกิดอาการอาหารไม่ย่อย
2. แน่นท้อง จุกเสียด
3. จุกแน่นลิ้นปี่
อาการคล้ายเจ็บหรือจุกกลางลำตัว ระหว่างบริเวณใต้ราวนมและเหนือสะดือ
4. เรอเปรี้ยว
มีน้ำรสเปรี้ยวหรือขมไหลย้อนขึ้นมาในปากและลำคอ เป็นสัญญาณว่ากรดหรือน้ำย่อยในกระเพาะอาหารไหลย้อนกลับขึ้นมา
5. คลื่นไส้ รู้สึกเหมือนจะอาเจียน
โดยเฉพาะหลังรับประทานอาหาร อาจเกิดจากการที่เนื้อเยื่อหลอดอาหารสัมผัสกรดหรือน้ำย่อยในกระเพาะอาหาร และเกิดการระคายเคือง
6. แสบร้อนกลางอก
อาการแสบร้อนบริเวณยอดอก อันมีสาเหตุจากกรดในกระเพาะอาหารไหลย้อนกลับขึ้นมาที่หลอดอาหาร
7. แสบคอ จุกแน่นในลำคอ กลืนลำบาก
รู้สึกระคายเคือง แสบในลำคอ หรือรู้สึกมีก้อนบางอย่างในลำคอ กลืนอาหารหรือกลืนน้ำลำบาก เป็นอาการที่อาจบ่งบอกว่ากรดไหลย้อนขึ้นคอ
ผู้ป่วยโรคกรดไหลย้อน ยังอาจพบอาการผิดปกติในระบบอื่นๆ ร่วมด้วย ได้แก่
- ไอเรื้อรัง
- กล่องเสียงอักเสบ
- เสียงแหบ
- กระตุ้นให้อาการหอบหืดแย่ลง
ผู้ป่วยโรคกรดไหลย้อนส่วนใหญ่มักมีอาการไม่รุนแรง ซึ่งสามารถรักษาด้วยตนเองได้โดยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม
หรือการทานยาสามัญหรือยาลดกรดและบรรเทากรดไหลย้อนที่สามารถหาซื้อได้ตามร้านสะดวกซื้อ หรือร้านขายยา ทั่วไปตามคำแนะนำของแพทย์และเภสัชก
การป้องกันโรคกรดไหลย้อน
การป้องกันโรคกรดไหลย้อนสามารถทำได้โดยการปรับพฤติกรรมและหลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงที่กระตุ้นให้เกิดอาการ ดังนี้
1. ปรับพฤติกรรมการกิน
- รับประทานอาหารในปริมาณที่พอเหมาะ หลีกเลี่ยงการกินมื้อใหญ่
- เคี้ยวอาหารให้ละเอียดและกินช้า ๆ
- หลีกเลี่ยงอาหารที่กระตุ้นอาการ เช่น อาหารมัน อาหารทอด อาหารเผ็ด กาแฟ ช็อกโกแลต น้ำอัดลม และแอลกอฮอล์
- หลีกเลี่ยงการดื่มน้ำมากเกินไประหว่างมื้ออาหาร เพราะอาจทำให้กระเพาะอาหารขยายตัวมากขึ้น
2. หลีกเลี่ยงพฤติกรรมที่ทำให้กรดไหลย้อนเกิดขึ้นง่าย
- ไม่ควรนอนทันทีหลังรับประทานอาหาร ควรรออย่างน้อย 2-3 ชั่วโมง
- หลีกเลี่ยงการออกกำลังกายหนัก ๆ หลังรับประทานอาหารทันที
- ไม่ใส่เสื้อผ้ารัดแน่นเกินไป โดยเฉพาะบริเวณท้อง เพราะอาจเพิ่มแรงดันในกระเพาะอาหาร
3. ควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ
- น้ำหนักเกินหรือโรคอ้วนทำให้ความดันในช่องท้องเพิ่มขึ้น และเพิ่มโอกาสที่กรดจะไหลย้อนขึ้นมา
- หากมีน้ำหนักเกิน ควรควบคุมอาหารและออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
4. จัดท่านอนให้เหมาะสม
- นอนตะแคงซ้ายช่วยลดโอกาสที่กรดจะไหลย้อนขึ้นมา
- ใช้หมอนหนุนศีรษะให้สูงขึ้นประมาณ 6-8 นิ้ว (15-20 ซม.) เพื่อช่วยให้กรดในกระเพาะไม่ไหลย้อนขึ้นไปในหลอดอาหาร
5. หลีกเลี่ยงสิ่งที่ทำให้หูรูดหลอดอาหารอ่อนแอลง
- งดสูบบุหรี่ เพราะนิโคตินทำให้หูรูดหลอดอาหารทำงานผิดปกติ
- ลดความเครียด เพราะความเครียดอาจกระตุ้นการหลั่งกรดในกระเพาะอาหารมากขึ้น
- หลีกเลี่ยงการใช้ยาบางชนิดที่อาจทำให้กรดไหลย้อนแย่ลง เช่น ยาแก้ปวดกลุ่ม NSAIDs (ไอบูโพรเฟน แอสไพริน) ควรปรึกษาแพทย์ก่อนใช้ยา
เมื่อไหร่ต้องไปปรึกษาแพทย์
ผุ้ป่วยที่มีอาการเจ็บหน้าอก โดยเฉพาะในกรณีที่มีอาการเหนื่อย หอบ หายใจลำบาก หรือมีอาการเจ็บหน้าอกร้าวมาที่กรามหรือแขน อาการเหล่านี้อาจเป็นโรคกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลัน ควรรีบพบแพทย์ทันที
ในกรณีผู้ป่วยที่มีอาการอื่นๆ ของโรคกรดไหลย้อนที่มีอาการรุนแรง เป็นซ้ำอยู่บ่อยๆ
หรือรับประทานยามานานเกิน 2 สัปดาห์แต่อาการไม่ดีขึ้น
หรือมีอาการสัญญาณเตือน เช่น อาเจียนมีเลือดปน กลืนอาหารลำบาก
หรือกลืนแล้วเจ็บ น้ำหนักลด คลำได้ก้อนที่บริเวณลำคอ ควรรีบไปพบแพทย์
การรักษาโรคกรดไหลย้อนเบื้องต้น
โรคกรดไหลย้อนวิธีรักษา สามารถแบ่งเป็น 2 ส่วน ได้แก่
1. รักษาโรคกรดไหลย้อนด้วยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมและการดำเนินชีวิตประจำวัน
ได้แก่ หลีกเลี่ยงอาหารที่กระตุ้นอาการเช่น อาหารที่มีส่วนประกอบของไขมันสูง ชากาแฟ งดดื่มแอลกอฮอล์
งดสูบบุหรี่ หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารอย่างน้อย 3 ชั่วโมงก่อนนอน พยายามลดน้ำหนักถ้าน้ำหนักเกิน และ
หลีกเลี่ยงการสวมเสื้อผ้าที่คับ หรือรัดแน่นโดยเฉพาะบริเวณรอบเอว
2. รักษาโรคกรดไหลย้อนด้วยยา
ควรใช้ยาเพื่อการรักษาโรคกรดไหลย้อนภายใต้คำแนะนำของแพทย์และเภสัชกร ยาที่แพทย์นิยมใช้ในการรักษาโรคกรดไหลย้อน แบ่งได้ 2 ประเภทใหญ่ๆ ได้แก่
2.1 ยากลุ่มอัลจิเนต
2.2 ยากลุ่ม proton-pump inhibitor
อย่างไรก็ตามในผู้ป่วยบางรายที่มีอาการรุนแรง หรือมีอาการสัญญาณเตือนของโรคร้ายแรงอื่นๆ ที่มีอาการคล้ายโรคกรดไหลย้อน เช่น มะเร็ง ควรรีบปรึกษาแพทย์
ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้จาก
บทความที่เกี่ยวข้อง
บทความ 1 มกราคม 2564