เรียบเรียงโดย
ทีมงานผู้เชี่ยวชาญด้านกรดไหลย้อน จากกาวิสคอน
อาการอาหารไม่ย่อย สามารถพบได้บ่อย ส่วนมากอาจมีอาการปวดเกิดขึ้นเฉียบพลันไม่นานภายหลังรับประทานอาหาร ซึ่งจะมีอาการแน่นท้อง อึดอัด จุกเสียดท้อง อาการอาหารไม่ย่อย จุกเสียดท้องนี้ก็อาจเป็นหนึ่งในสัญญาณเตือนของโรคกรดไหลย้อนด้วยเช่นเดียวกัน
อาการอาหารไม่ย่อยคืออะไร?
อาการอาหารไม่ย่อย (Dyspepsia) หรือจุกเสียดท้องเป็นสิ่งที่หลายคนเจอ ไม่ว่าจะเป็นเป็นครั้งคราวหรือเกิดขึ้นบ่อย ๆ บางครั้งอาจรุนแรงจนรู้สึกอึดอัด แน่นท้อง หรือปวดท้องหลังกินอาหารเพียงไม่นาน โดยสาเหตุนั้นเกิดจากการที่กระเพาะหลั่งกรดมากเกินไป ทำให้ระบบย่อยอาหาร โดยเฉพาะเอนไซม์ที่อยู่ในลำไส้เล็กทำงานได้ไม่เต็มที่ จึงทำให้เกิดอาการอาหารไม่ย่อย ส่งผลให้รู้สึกแน่นท้อง จุกเสียดท้อง
นอกจากนี้อาการอาหารไม่ย่อยยังพบบ่อยในช่วงตั้งครรภ์เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงด้านโครงสร้างร่างกายส่งผลกระทบต่อการผลิตฮอร์โมน ท่านสามารถศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่หน้าการตั้งครรภ์
อาการอาหารไม่ย่อย จุกเสียดท้องเป็นอย่างไร?
ลักษณะสัญญาณของอาหารไม่ย่อยมีดังนี้:
- รู้สึกแน่นท้อง หรือ ไม่สบายท้องหลังรับประทานอาหาร
- รู้สึกแสบร้อนบริเวณท้อง
- ท้องลั่นโครกคราก
- ท้องเกร็ง
- ท้องอืด ท้องเฟ้อ
- เรอเปรี้ยว

อาการปวดท้องอาหารไม่ย่อย จุกเสียดท้องเกิดจากอะไร?
อาการปวดท้องอาหารไม่ย่อย จุกเสียดท้อง อาจทำให้เกิดความรู้สึกปวดแสบร้อนในกระเพาะอาหาร โดยเฉพาะในผู้ที่เยื่อบุทางเดินอาหารบอบบางเป็นพิเศษ ซึ่งอาการอาหารไม่ย่อยเกิดจากหลายปัจจัย และปัจจัยกระตุ้นอาจต่างกันในแต่ละคน ซึ่งสาเหตุหลักของอาหารไม่ย่อย จุกเสียดท้อง ประกอบด้วย:
อาหารไม่ย่อย จุกเสียดท้อง เป็นอย่างไร?
อาการปวดท้องอาหารไม่ย่อย จุกเสียดท้อง อาจทำให้เกิดความรู้สึกปวดแสบร้อนในกระเพาะอาหาร โดยเฉพาะในผู้ที่เยื่อบุทางเดินอาหารบอบบางเป็นพิเศษ ซึ่งอาการอาหารไม่ย่อยเกิดจากหลายปัจจัย และปัจจัยกระตุ้นอาจต่างกันในแต่ละคน ซึ่งสาเหตุหลักของอาหารไม่ย่อย จุกเสียดท้อง ประกอบด้วย:
- รับประทานอาหารมื้อใหญ่
- รับประทานเร็วเกินไป
- ของมันหรือของเผ็ด
- ความเครียดและวิตกกังวล
- ดื่มแอลกอฮอล์
- สูบบุหรี่

จุกเสียดท้อง อาหารไม่ย่อย แน่นท้อง มีสาเหตุจากอะไรบ้าง?
1. อาหารไม่ย่อย (Indigestion)
อาหารไม่ย่อยหรือจุกเสียดท้องเป็นภาวะที่เกิดจากการย่อยอาหารไม่สมบูรณ์ มักเกิดหลังรับประทานอาหารมื้อใหญ่ รับประทานเร็วเกินไป หรือรับประทานอาหารที่มีไขมันสูง ทำให้กระเพาะอาหารทำงานหนักและหลั่งกรดมากเกินไป ส่งผลให้เกิดอาการแน่นท้อง ท้องอืด รู้สึกอึดอัด และอาจมีอาการปวดท้องเล็กน้อย
2. กรดไหลย้อน (Gastroesophageal reflux disease, GERD)
กรดไหลย้อนเป็นภาวะที่กรดในกระเพาะอาหารไหลย้อนกลับขึ้นมาที่หลอดอาหาร เนื่องจากหูรูดของหลอดอาหารส่วนล่างทำงานผิดปกติหรือคลายตัว ทำให้เกิดอาการจุกเสียดท้อง แสบร้อนกลางอก แสบร้อนลิ้นปี่ และอาจมีอาการอาหารไม่ย่อยร่วมด้วย โดยเฉพาะหลังรับประทานอาหารหรือนอนราบ
3. โรคกระเพาะอาหาร (Dyspepsia)
โรคกระเพาะอาหารหรือกระเพาะอาหารอักเสบ เกิดจากเยื่อบุกระเพาะอาหารอักเสบหรือมีแผล อาจเกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย Helicobacter pylori การใช้ยาแก้ปวดบางชนิด หรือการดื่มแอลกอฮอล์เป็นประจำ ทำให้เกิดอาการปวดท้อง แน่นท้อง จุกเสียดท้อง คลื่นไส้ และอาหารไม่ย่อย โดยเฉพาะหลังรับประทานอาหาร
วิธีดูแลอาการอาหารไม่ย่อย จุกเสียดท้องทำอย่างไร?
การป้องกันอาการอาหารไม่ย่อย จุกเสียดท้อง หรือหลายคนอาจสงสัยว่าท้องอืดอาหารไม่ย่อยกินอะไรดี? ซึ่งอาหารไม่ย่อย วิธีแก้สามารถทำได้หลายวิธี โดยการปรับพฤติกรรมการรับประทานอาหารและการดูแลสุขภาพโดยรวม ซึ่งสามารถทำได้ดังนี้:
1. ทานอาหารมื้อเล็กๆ แต่บ่อยครั้ง
การทานอาหารมื้อใหญ่ๆ ในแต่ละครั้งอาจทำให้กระเพาะอาหารทำงานหนักและทำให้เกิดอาการ
อาหารไม่ย่อยได้ง่ายขึ้น ดังนั้น ควรแบ่งมื้ออาหารเป็นมื้อเล็กๆ และทานบ่อยขึ้นแทน
เช่น ทานอาหาร 4-5 มื้อเล็กๆ ต่อวัน เพื่อช่วยลดการทำงานหนักของกระเพาะอาหาร
2. หลีกเลี่ยงอาหารที่กระตุ้นกรดในกระเพาะ
อาหารบางชนิดอาจกระตุ้นการผลิตกรดในกระเพาะอาหารเช่น อาหารมัน อาหารเผ็ด อาหารทอด ช็อกโกแลต เครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน เช่น กาแฟ หรือเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ ควรหลีกเลี่ยงการทานอาหารเหล่านี้ เพื่อช่วยลดโอกาสเกิดอาการอาหารไม่ย่อย จุกเสียดท้อง
3. เคี้ยวอาหารให้ละเอียด
การเคี้ยวอาหารให้ละเอียดช่วยลดภาระในการย่อยของกระเพาะอาหารและช่วยให้ระบบย่อยอาหารทำงานได้ดีขึ้น ลดโอกาสเกิดอาการอา
หารไม่ย่อย เช่น จุกเสียดท้อง หรือท้องอืด
4. ไม่ทานอาหารใกล้เวลานอน
การทานอาหารก่อนนอนอาจทำให้กรดในกระเพาะอาหารไหลย้อนขึ้นสู่หลอดอาหาร ซึ่งทำให้เกิดอาการแสบร้อนกลางอกและอาหารไม่ย่อย จุกเสียดท้อง แสบร้อนคอได้ ควรหลีกเลี่ยงการทานอาหารภายใน 2-3 ชั่วโมงก่อนเข้านอน
5. ลดความเครียด
ความเครียดสามารถกระตุ้นการผลิตกรดในกระเพาะอาหาร และทำให้ระบบย่อยอาหารทำงานไม่ดีได้ ดังนั้นการหาวิธีลดความเครียด เช่น การฝึกโยคะ การทำสมาธิ หรือการออกกำลังกายเป็นประจำ สามารถช่วยลดอาการอาหารไม่ย่อย จุกเสียดท้องได้
6. เลือกกินอาหารที่ช่วยบรรเทาอาการ
- เลือกอาหารที่ย่อยง่าย เช่น ข้าวโอ๊ต เพราะมีเส้นใยละลายน้ำ ช่วยเคลือบกระเพาะและลดความระคายเคือง
- รับประทานกล้วยสุก เนื้อนิ่ม ย่อยง่าย และมีเพคตินที่ช่วยให้ระบบย่อยทำงานสมดุล เหมาะกับคนที่มีอาการแน่นหรือแสบท้อง
- กินผักต้มหรือผักลวก เช่น ฟักทอง แครอท หรือผักใบเขียวที่ผ่านความร้อนจนเนื้อนุ่ม ลดภาระการทำงานของกระเพาะและยังได้รับสารอาหารครบถ้วน
- เสริมขิงในมื้ออาหารหรือดื่มน้ำขิงอุ่น เพื่อช่วยลดการอักเสบ คลายอาการจุกแน่น และบรรเทาคลื่นไส้
- ดื่มน้ำอุ่นระหว่างวัน ช่วยให้ระบบย่อยเคลื่อนไหวเป็นปกติและลดความอึดอัดหลังมื้ออาหาร
- เลือกอาหารที่อ่อนต่อระบบย่อยอย่างสม่ำเสมอ จะช่วยให้กระเพาะฟื้นตัวเร็วและลดอาการไม่สบายท้องได้
รักษาอาการอาหารไม่ย่อย จุกเสียดท้องอย่างไร?
อาการแน่นท้องเพราะอาหารไม่ย่อยที่เกิดจากการมีกรดในกระเพาะอาหารมากเกินไป สามารถบรรเทาได้ด้วยการรับประทานยาแก้ท้องอืดอาหารไม่ย่อย หรือยาลดกรดและบรรเทากรดไหลย้อน แต่ยังมีความเข้าใจที่ผิด ๆ บางอย่างเกี่ยวกับยาลดกรด ตัวอย่างเช่น คนทั่ว ๆ ไปมักคิดว่ายาลดกรด กับยาธาตุน้ำขาว คือยาตัวเดียวกัน มีสรรพคุณลดกรดในกระเพาะอาหารที่เหมือน ๆ กันเพราะลักษณะเป็นน้ำสีขาวเหมือนกัน แต่ไม่เป็นความจริง เรามาดูกันว่า ยาทั้ง 2 ชนิด แตกต่างกันอย่างไรมาติดตามกันได้เลย
จุกเสียดท้อง อาหารไม่ย่อยวิธีแก้ทำอย่างไร
ยาลดกรด (Antacids) คืออะไร?
ยาลดกรด (Antacids) คือ ยาที่ช่วยปรับสภาพความเป็นกรดภายในกระเพาะอาหารให้มีความเป็นกลาง
มากขึ้น โดยส่วนมากประกอบด้วยยาที่มีคุณสมบัติเป็นด่าง ได้แก่
- อะลูมิเนียม ไฮดรอกไซด์ (Aluminium hydroxyide)
- แมกนีเซียม คาร์บอเนต (Magnesium hydroxide)
มักใช้เป็นยารักษาโรคกระเพาะอาหารอักเสบ, โรคกรดไหลย้อน
และบรรเทาอาการอาหารไม่ย่อย ท้องอืด ท้องเฟ้อ ได้
ยาธาตุน้ำขาว (Salol et Menthol Mixture) คืออะไร?
ยาธาตุน้ำขาว (Salol et Menthol Mixture) คือ ยาที่ประกอบด้วย
- ซาลอล (Salol หรือ Phenyl Salicylate) มีฤทธิ์ฆ่าเชื้อในลำไส้
- น้ำมันจากผลเทียนสัตตบุษย์ (Anise oil) และ เมนทอล (Menthol) มีฤทธิ์ขับลม
ดังนั้นยาธาตุน้ำขาวจึงสามารถใช้รับประทานเพื่อทำลายเชื้อโรคในลำไส้
รักษาอาการท้องเสียจากการติดเชื้อแบบไม่รุนแรง แก้ปวดท้อง แก้ท้องเสีย ท้องอืดท้องเฟ้อ
จุกเสียด แน่นท้อง ช่วยขับลมได้
จะเห็นได้ว่า ยาธาตุน้ำขาวไม่ใช่ยาลดกรด ยาธาตุน้ำขาวไม่สามารถลดภาวะกรดเกินในกระเพาะอาหารได้
ดังนั้นเพื่อความปลอดภัย ก่อนจะกิน หรือใช้ยาอะไรหากไม่มั่นใจแนะนำให้ปรึกษาแพทย์ หรือเภสัชกรจะดีกว่า
(ที่มา : กลุ่มภารกิจด้านวิเคราะห์และประมวลข่าวสาร สำนักสารนิเทศ สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข)
ในขณะที่บางคนอาจนิยมทานยาลดกรดชนิดผงฟู่ เพื่อลดกรดและบรรเทาอาการท้องอืด
ท้องเฟ้อ เพราะหาซื้อได้ง่ายและราคาไม่แพง
แต่เนื่องจากอาการแน่นท้องเพราะอาหารไม่ย่อยจากกรดเกินอาจทำให้เกิดกรดไหลย้อนได้ด้วย
การทานยาที่ช่วยลดกรดเพียงอย่างเดียว จึงอาจไม่เพียงพอ
จึงควรรับประทานยาลดกรดและป้องกันกรดไหลย้อน ที่มีประสิทธิภาพเหนือกว่ายาลดกรดทั่วไป เพราะนอกจากจะ
ช่วยเจือจางกรด ปรับสภาพกรดภายในกระเพาะอาหารให้มีความเป็นกลางมากขึ้น ซึ่งช่วยบรรเทาอาการจุกเสียด
ท้อง และอาหารไม่ย่อยจากกรดเกินแล้ว ยังมีคุณสมบัติในการสร้างชั้นแพเจลป้องกันกรดไหลย้อน และบรรเทา
อาการแสบร้อนกลางอกจากกรดไหลย้อนได้
ดังนั้นไม่ว่าท่านจะมีอาการ จุกเสียดท้อง แน่นท้องเพราะอาหารไม่ย่อยจากกรดเกิน ก็สามารถบรรเทาอาการได้อย่างมีประสิทธิภาพ
จึงช่วยให้ท่านดำเนินกิจวัตรต่อไปโดยไร้กังวล
หากท่านจะพิจารณาเลือกซื้อยาเพื่อบรรเทาอาการแน่นท้องเพราะอาหารไม่ย่อย จุกเสียดท้องด้วยตนเอง
จำเป็นต้องอ่านฉลากและเอกสารกำกับยาให้ละเอียดก่อนทุกครั้ง
อาการอาหารไม่ย่อยส่งผลให้เกิด “มะเร็งกระเพาะอาหาร” ได้หรือไม่?
เมื่อมีอาการอาหารไม่ย่อยเป็นประจำ สิ่งแรกที่หลายคนอาจสงสัยคือ กำลังเผชิญกับภาวะกรดไหลย้อนหรือเปล่า เพราะโรคนี้พบได้บ่อยและทำให้เกิดอาการคล้ายแน่นท้อง แสบร้อนกลางอก หรือจุกเสียดหลังรับประทานอาหาร หากตรวจเบื้องต้นแล้วพบว่าไม่มีภาวะกรดไหลย้อนหรือรักษาแล้วอาการไม่ดีขึ้น ควรเริ่มสังเกตสัญญาณอื่นที่อาจสัมพันธ์กับความเสี่ยงโรคในกระเพาะอาหารมากขึ้น รวมถึงมะเร็งกระเพาะอาหาร
หากไม่มีอาการกรดไหลย้อน ควรสังเกตุอาการเสี่ยงมะเร็งกระเพาะอาหารอะไรบ้าง?
1. อุจจาระมีเลือดปน หรือสีดำผิดปกติ อาจบ่งบอกว่ามีเลือดออกในกระเพาะอาหารหรือทางเดินอาหารส่วนต้น
2. อาเจียนเป็นเลือด หรืออาเจียนเรื้อรัง หากเกิดบ่อยผิดปกติควรรีบพบแพทย์ทันที
3. น้ำหนักลดโดยไม่ทราบสาเหตุ แม้รับประทานอาหารปกติแต่ยังผอมลง อาจเกิดจากการทำงานผิดปกติของระบบย่อยอาหาร
4. เบื่ออาหาร หรือรู้สึกอิ่มเร็ว อาจเป็นสัญญาณว่ามีการเปลี่ยนแปลงภายในกระเพาะอาหาร เช่น การอุดกั้นหรือรอยโรคบางชนิด
5. ปวดท้องเรื้อรัง โดยเฉพาะหลังมื้ออาหาร หากปวดแน่นบริเวณลิ้นปี่หรือท้องส่วนบนเป็นประจำ ควรตรวจเพิ่มเติม
หากพบอาการเหล่านี้ร่วมกับอาการอาหารไม่ย่อยเรื้อรัง แนะนำให้เข้าพบแพทย์เพื่อประเมินโดยละเอียด เช่น การส่องกล้องกระเพาะอาหาร ซึ่งเป็นวิธีที่ช่วยตรวจหาความผิดปกติได้อย่างชัดเจน การตรวจตั้งแต่เนิ่น ๆ จะช่วยให้รับการรักษาได้ทันท่วงทีและลดความเสี่ยงของโรคที่อาจรุนแรงในอนาคต